นั่นสินะ ควรจะเตรียมตัวยังไงดีให้พร้อมกับการสมัครขอทุน วันนี้มีคำตอบดีๆ มาฝากค่ะ
1. ฝึกภาษาอังกฤษเข้าไว้
1. ฝึกภาษาอังกฤษเข้าไว้
คำถามยอดฮิตที่ถามกันทุกวันคือ
"ไม่เก่งอังกฤษจะไปเรียนต่อนอกได้มั้ย? ไม่เก่งอังกฤษจะสอบชิงทุนได้มั้ย?"
- ถ้าบ้านของน้องส่งไปเอง ออกค่าใช้จ่ายเอง ยังไงน้องก็มีโอกาสได้อยู่แล้วค่ะ พูดตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยว่า "เงิน" สามารถช่วยจัดการหลาย ๆ อย่างได้ (ในระดับหนึ่ง) เช่น น้องสมัครเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองนอกโดยจะออกเงินเอง ไม่ได้ขอทุน โดยที่มีคะแนนสอบภาษาอังกฤษพวก TOEFL หรือ IELTS ไม่ค่อยดีนัก มหาวิทยาลัยเขาจะยังไม่ปฏิเสธน้องทีเดียวเลยหรอกค่ะ แต่เขาจะยื่นข้อเสนอหรือ offer มาก่อนว่า "จะรับเข้าเรียนโดยต้องไปสอบ TOEFL หรือ IELTS ใหม่อีกรอบให้ผ่านตามคะแนนที่กำหนด" ดังนั้นหากเราไปสอบมาใหม่ให้ได้คะแนนดีขึ้น จ่ายค่าเทอม แค่นี้ก็ได้ไปเรียนแล้ว
หรือในอีกกรณี หากน้องสมัครเรียนผ่านเอเจนซี่ ไม่มีเอเจนซี่ที่ไหนตอบกลับมาหรอกว่า "โอ๊ย ภาษาไม่ดี ไปเรียนนอกไม่ได้หรอกค่าาาา" เพราะเท่ากับว่าเอเจนซี่นั้นจะเสียลูกค้าไปแน่ ๆ แต่เอเจนซี่จะช่วยหาโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้มีเงื่อนไขสูงมากนัก ที่พอจะรับคนที่ไม่เก่งภาษามากเข้าไปเรียนได้ เพราะยังไงเอเจนซี่ก็ต้องรักษาฐานลูกค้าไว้ก่อน
- ถ้าน้องจะสมัครทุนหรือสอบชิงทุน ขอตอบเลยว่า "ไม่น่ารอดค่ะ" ทุนมีให้สำหรับคนที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งคำว่า "เหมาะสมที่สุด" นั้น ก็รวมไปถึงความเก่งทางวิชาการและรวมถึงภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งจะสะท้อนผ่านคะแนน TOEFL หรือ IELTS ที่เราต้องใช้ยื่นเพื่อสมัครทุน บอกเลยว่า TOEFL หรือ IELTS นี่ไม่ง่ายค่ะ บางคนต้องติวเป็นปีก่อนไปสอบ ดังนั้นใครไม่เก่งภาษาอังกฤษ พี่ว่าจะไปสมัครทุนหรือสอบชิงทุนนี่ โอกาสได้น้อยมาก ๆ
ดังนั้นหากน้องมีโอกาสได้ไปเจอเพื่อนที่ได้ทุน และเพื่อนบอกกับน้องว่า "เราเองก็ไม่เก่งหรอกนะ" ให้เชื่อเถอะว่า เขาถ่อมตัวค่ะ
แล้วจะฝึกภาษายังไงดี??? น้อง ๆ ที่อยู่เชียงใหม่ หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อพี่ๆ TeamAce! ได้นะคะ
2. ต้องมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษ
คะแนนที่ว่านั้นก็คือ TOEFL หรือ IELTS ที่เขียนไว้แล้วในข้อแรกนั่นเอง หลาย ๆ คนอาจจะยังงง ๆ ว่าคืออะไร?
- TOEFL (อ่านว่า โทเฟิล) และ IELTS (อ่านว่า ไอเอลท์) เป็นผลการทดสอบวัดความรู้ความสามารถภาษาอังกฤษเชิงวิชาการที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก มหาวิทยาลัยที่ไหน ๆ ในโลกก็ยอมรับคะแนนพวกนี้ ดังนั้นน้อง ๆ ที่คิดจะโกอินเตอร์แน่นอน "ต้องสอบเก็บไว้"
- TOEFL มีการสอบหลายแบบ เช่น สอบด้วยคอมพิวเตอร์ สอบด้วยกระดาษ แต่วิธีที่นิยมที่สุดในปัจจุบันคือสอบด้วยอินเตอร์เน็ต เราเรียกว่า TOEFL iBT โดยมีคะแนนเต็มที่ 120 คะแนน มหาวิทยาลัยส่วนมากมักกำหนดที่ 70 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยดังระดับโลก จะเรียกที่ 100 คะแนนขึ้นไปค่ะ สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุนต่าง ๆ พี่ว่าควรได้อย่างต่ำที่ 80 ขึ้นไปนะคะ สามารถสมัครสอบได้ที่ www.toefl.org ค่าสอบปัจจุบันอยู่ที่ 185 USD (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน) คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 6 พันกว่าบาทค่ะ *ต้องการคำแนะนำสมัครสอบ ติดต่อ TeamAce 081-8212686*
- ส่วน IELTS มีคะแนนเต็มที่ 9.0 มหาวิทยาลัยทั่วไปจะเรียกที่ 5.5 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ ก็จะกำหนดไว้ที่ 7.0 ค่ะ สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุนต่าง ๆ ควรได้ 6.0 ขึ้นไป สามารถสมัครสอบได้ที่ British Council ค่าสอบอยู่ที่ประมาณ 6 พันกว่าบาทค่ะ
- ทั้ง TOEFL และ IELTS ข้อสอบจะมี 4 พาร์ทคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยน้องต้องแน่นทั้ง 4 พาร์ท จะเก่งพูดแต่ไม่เก่งอ่านก็ไม่ได้ เพราะบางมหาวิทยาลัยก็จะมีเงื่อนไขคะแนนด้วย เช่น คะแนนสอบ IELTS แต่ละส่วนจะมีคะแนนเต็มที่ 9.0 จากนั้นจะนำมาหาร 4 เพื่อสรุปเป็นคะแนนตัวจริง
แต่บางมหาวิทยาลัยก็จะกำหนดว่า คะแนน IELTS ต้องได้ 6.5 ขึ้นไป โดยไม่มีพาร์ทไหนได้ต่ำกว่า 6.0 ดังนั้นต่อให้บางคนได้พาร์ทการพูด การเขียน การฟังเต็ม 9.0 แต่ได้พาร์ทอ่านแค่ 5.0 แบบนี้ก็ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์มหาวิทยาลัยนั้นค่ะ (โหดมั้ยล่ะนั่น)
- คะแนนจะเก็บไว้ใช้ได้ 2 ปี ส่วนมากจัดสอบเดือนละ 2-4 ครั้ง ผลสอบจะออกหลังสอบประมาณ 2 สัปดาห์
- คนส่วนมากนิยมไปสมัครคอร์สติว TOEFL หรือ IELTS ก่อนสอบ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าค่อนข้างยาก ค่าสอบก็แพง ดังนั้นบางคนจึงยอมจ่ายแพงเสียเงินไปติวเพื่อความชัวร์ สอบทีเดียวจะได้ผ่านเลย
- แล้วจะเลือกสอบอะไรดี? ถ้าน้องคิดจะไปเรียนที่อเมริกา ควรสอบ TOEFL ค่ะ แต่หากจะไปแถบยุโรปหรือออสเตรเลีย ควรสอบ IELTS เพราะจะเป็นที่นิยมมากกว่า (แต่จริงๆ มันแทนกันได้ค่ะ)
***คำแนะนำจากพี่คือ ใครคิดจะสมัครทุนจริง ๆ น้องควรต้องไปสอบเก็บไว้จริง ๆ นะ มันเป็นอะไรที่สำคัญมากกกก เพราะบางทุนให้ระยะเวลาในการสมัครเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น!! ซึ่งพอถึงเวลานั้น น้องอยากได้ทุนนี้มาก แต่น้องก็ต้องชวดแน่นอน เพราะถึงน้องไปสมัครสอบ TOEFL หรือ IELTS แต่กว่าผลจะออกก็ 2 สัปดาห์แล้ว ดังนั้นไปสอบเก็บไว้ล่วงหน้าเถอะพี่ขอร้อง***
- คนส่วนมากนิยมไปสมัครคอร์สติว TOEFL หรือ IELTS ก่อนสอบ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าค่อนข้างยาก ค่าสอบก็แพง ดังนั้นบางคนจึงยอมจ่ายแพงเสียเงินไปติวเพื่อความชัวร์ สอบทีเดียวจะได้ผ่านเลย
- แล้วจะเลือกสอบอะไรดี? ถ้าน้องคิดจะไปเรียนที่อเมริกา ควรสอบ TOEFL ค่ะ แต่หากจะไปแถบยุโรปหรือออสเตรเลีย ควรสอบ IELTS เพราะจะเป็นที่นิยมมากกว่า (แต่จริงๆ มันแทนกันได้ค่ะ)
***คำแนะนำจากพี่คือ ใครคิดจะสมัครทุนจริง ๆ น้องควรต้องไปสอบเก็บไว้จริง ๆ นะ มันเป็นอะไรที่สำคัญมากกกก เพราะบางทุนให้ระยะเวลาในการสมัครเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น!! ซึ่งพอถึงเวลานั้น น้องอยากได้ทุนนี้มาก แต่น้องก็ต้องชวดแน่นอน เพราะถึงน้องไปสมัครสอบ TOEFL หรือ IELTS แต่กว่าผลจะออกก็ 2 สัปดาห์แล้ว ดังนั้นไปสอบเก็บไว้ล่วงหน้าเถอะพี่ขอร้อง***
สอบ TOEIC แทนได้มั้ย?? TOEIC เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษที่มักใช้วัดความสามารถก่อนเข้าทำงาน ดังนั้นนิสิตนักศึกษาจะนิยมสอบกันค่อนข้างเยอะค่ะ มีคะแนนเต็มที่ 990 คะแนนค่ะ ข้อสอบไม่ยากมาก แถมค่าสอบก็ไม่แพง แค่พันกว่าบาทเท่านั้น
แต่!! จุดประสงค์ของข้อสอบ TOEIC จะต่างจาก TOEFL/IELTS เพราะ TOEIC จะเน้นเพื่อเข้าทำงานซะมากกว่า ดังนั้นมหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรปจึงไม่พิจารณาคะแนน TOEIC ค่ะ แต่พี่เองก็เคยเห็นพวกทุนการศึกษาบางทุนในแถบเอเชีย อนุโลม ให้ใช้ TOEIC ในการยื่นสมัครด้วย เพราะฉะนั้นน้องๆ ก็ควรไปสอบตัวนี้เก็บไว้ด้วยนะ
นอกจากนี้ยังมี SAT เป็นผลสอบอีกตัวหนึ่งที่ "น้อง ๆ ที่อยากไปเรียนปริญญาตรีที่อเมริกา" ควรมีไว้ค่ะ ดังนั้นพวกทุนต่าง ๆ ที่จะให้ไปเรียนอเมริกามักกำหนดว่าต้องมีผลสอบ SAT ด้วย และยังมีหลักสูตรอินเตอร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงที่ไทยก็กำหนดด้วยว่าให้ใช้ผลสอบ SAT ในการยื่นสมัคร หรือแม้แต่บางมหาวิทยาลัยในบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ก็กำหนดให้ใช้ SAT ในการสมัครเข้าเรียนเหมือนกัน ดังนั้นใครคิดว่าพอไหวก็ลองไปสอบนะ
3. สอบวัดระดับภาษาอื่น ๆ ที่จำเป็น
น้องๆ ที่คิดจะไปเรียนต่อในประเทศที่ใช้ภาษาที่ 3 ต้องอ่านไว้ค่ะ โดยเฉพาะเกาหลี จีน ญี่ปุ่น น้อง ๆ ควรไปสอบวัดระดับภาษานั้น ๆ เก็บไว้ เพราะบางทุนกำหนดว่า "ต้องมีคะแนนวัดระดับของภาษานั้น ๆ" ประกอบในการยื่นสมัครด้วย หรือบางทุนไม่ได้บังคับว่าต้องมี แต่ทุนนั้น ๆ มักจะลงท้ายว่า "ผู้ที่มีผลคะแนนวัดระดับของภาษานั้น ๆ จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ" แล้วแบบนี้จะไม่ไปสอบเก็บไว้ได้ยังไงล่ะ??
ตัวอย่าง ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (ปริญญาตรี) กำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครไว้ว่าต้องเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
- มีผลการเรียนเฉลี่ย 3.80 ขึ้นไป
- มีผลการเรียนเฉลี่ย 3.30 ขึ้นไปและมีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นระดับ 1 หรือ 2
- มีผลการเรียนเฉลี่ย 3.50 ขึ้นไปและมีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นระดับ 3 หรือ 4
น้องๆ หลายคนที่เกรดไม่ถึง 3.80 ก็ต้องชวดทุนนี้ไปอย่างน่าเสียดายมากกกก แหม ถ้ามีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นไปยื่นด้วยก็สบายเลย น่าเสียดายมากค่ะ นี่คือตัวอย่าง ว่าทำไมเราถึงควรไปสอบวัดระดับภาษานั้น ๆ เก็บเอาไว้
- การสอบวัดระดับภาษาจีน (HSK) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กลางปีและปลายปี สมัครได้ที่ มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง สำนักงานกรุงเทพ
- การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กรกฎาคมและธันวาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น
- การสอบวัดระดับภาษาเกาหลี (TOPIK) จัดสอบปีละครั้ง ตุลาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนนานาชาติเกาหลี
นั่นก็คือกำหนดการการสอบคร่าว ๆ นะคะ ขอย้ำเลยว่าควรต้องสอบเก็บไว้และติดตามข่าวให้ดีว่าเขาจะเปิดรับสมัครเมื่อไหร่
4. เตรียมเอกสารให้พร้อม!!
มาถึงหมวดเอกสารบ้าง เอกสารที่ใช้ในการสมัครทุนต่างๆ นั้นมีเยอะทีเดียวค่ะ จึงจะขอแนะนำตามนี้
เอกสารที่ต้องขอจากโรงเรียน
- ใบแสดงผลการศึกษา หรือเรียกง่าย ๆ ว่าทรานสคริปต์ คือใบที่จะบอกว่าเกรดแต่ละวิชาในแต่ละระดับชั้นที่ผ่านมา เราได้เท่าไหร่บ้าง หรือใบปพ.1 นั่นเองค่ะ
- ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียนหรือใบรับรองการจบการศึกษา คือใบที่ทางโรงเรียน
จะรับรองว่า เรานี่แหละมีสภาพเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้จริง ๆ หรือหากน้องเพิ่งเรียนจบมา มันก็จะกลายเป็นใบที่รับรองว่าเราจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้จริง ๆ นะ
เอกสารทั้ง 2 ใบนี้สำคัญมากกกกค่ะ น้องสามารถขอได้จากฝ่ายทะเบียนของโรงเรียน และควรขอเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ (ถ้าโรงเรียนสามารถทำให้ได้)
คำแนะนำคือ ให้น้องขอไว้ทีเดียวอย่างละ 5-6 ใบเลยค่ะ เพราะบางทีเกิดอาการหลายใจ ทุนนั้นก็น่าสมัคร ทุนนี้ก็น่าสนใจ เราจะได้ไม่ต้องกลับไปขอใหม่บ่อย ๆ เสียเวลาเปล่า ๆ ให้ขอมาทีเดียวเยอะเลยค่ะ นอกจากนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าบางทุนเปิดให้สมัครแค่ 2 สัปดาห์ แล้วดันตรงกับช่วงปิดเทอมพอดี แย่เลย เพราะบางโรงเรียนก็ดำเนินการช้ามาก ใช้เวลาทีเป็นสัปดาห์กว่าจะเสร็จ ดังนั้นน้องควรไปขอมาตุนไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ
เอกสารที่เป็นของเราเอง
- สูติบัตร หรือใบรับรองการเกิด หลายคนคงสงสัยว่าทำไมพวกทุนการศึกษาถึงต้องขอใบนี้ด้วย?? คำตอบก็คือ เขาขอเพื่อไปดู "ความสัมพันธ์ระหว่างเราและบิดามารดา" ว่าพ่อแม่เราชื่อนี้จริง ๆ มั้ย พ่อแม่เราสัญชาติไทยจริง ๆ หรือเปล่า ดังนั้นสูติบัตรเป็นอีกใบที่ต้องใช้ค่ะ หากของใครอยู่ในสภาพที่เน่ามาก น้อง ๆ สามารถไปขอคัดสำเนาสูติบัตรได้ที่สำนักงานเขตค่ะ
- ทะเบียนบ้าน ส่วนมากจะใช้หน้าที่มีชื่อเรานั่นเอง
- หนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต บางทุนกำหนดว่าผู้สมัครต้องส่งสำเนาพาสปอร์ตไปให้ดูด้วย เพื่อดูว่าเรามีสัญชาติไทยจริง ๆ มั้ย แต่หากใครไม่มีพาสปอร์ตจริง ๆ อาจจะใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนแทนได้ เพราะเดี๋ยวนี้ก็เป็นภาษาอังกฤษกันหมดแล้ว
เอาล่ะ เตรียมเอกสารสำคัญกันในมือครบแล้ว เอ๊ะ เอกสารที่เรามีมันเป็นภาษาไทยหมดเลย ทำไงดี?? แน่นอนค่ะว่า ทางทุนเค้าอ่านไม่ออกแน่ ๆ ดังนั้นเราจึงต้องนำเอกสารทั้งหมดไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ
- น้อง ๆ ควรนำไปแปลตามร้านรับแปลเอกสารต่าง ๆ หาได้ทั่วไป ใช้เวลา 1-2 วันเท่านั้น เอกสารที่ควรนำไปแปลคือ เอกสารที่ต้องเน้นความแม่นยำและถูกต้อง แบบว่า แปลผิดไม่ได้เด็ดขาด นั่นก็คือเอกสารราชการค่ะ เช่น ใบสูติบัตร ใบทะเบียนบ้าน (ไม่แนะนำให้แปลเองนะคะ เพราะแปลผิดขึ้นมาเดี๋ยวจะยุ่ง) ใช้เวลาแปล 2-3 วัน ค่าแปลหน้าละประมาณ 300 - 500 บาท
- เมื่อแปลเสร็จเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาแล้ว ต้องมีการรับรองว่าเอกสารที่แปลนั้นถูกต้อง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมการกงสุล น้อง ๆ สามารถอ่านวิธีการยื่นคำร้องรับรองเอกสารได้ที่นี่ค่ะ คลิกเลย ซึ่งหากน้องเกิดแปลเองและแปลผิด ทางกรมการกงสุลจะติดต่อกลับมาว่าแปลผิดนะ ใช้ไม่ได้ ซึ่งก็จะยิ่งเสียเวลามากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงควรให้ร้านรับแปลเอกสารแปลให้แต่แรกน่าจะดีกว่าค่ะ
- ส่วนเอกสารอื่น ๆ เช่น ใบแสดงผลการศึกษา ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียน หากโรงเรียนไม่สามารถออกเป็นภาษาอังกฤษได้จริง ๆ น้องก็ควรนำไปให้ร้านรับแปลเอกสารแปลเหมือนกัน แต่ไม่ต้องนำไปรับรองที่กรมการกงสุลนะคะ
- พอร์ตฟอลิโอ หรือ ใบประกาศนียบัตร ที่เคยได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ซีเรียส แปลเองได้ ไม่ต้องไปจ้างร้านรับแปลเอกสารก็ได้ค่ะ
***ทั้งหมดนี้สำคัญมากนะคะ อยากให้น้อง ๆ เตรียมเอกสารในมือให้พร้อมไว้ล่วงหน้าเลย หลายคนสมัครทุนไม่ทันก็เพราะติดปัญหาเรื่องเอกสารนี่แหละค่ะ***
5. คิดดี ๆ อยากเรียนที่ไหน?
หากเป็นทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย เราคงไม่ต้องคิดมาก เพราะหากได้ทุนมา ก็ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนั้นอยู่แล้ว แต่สำหรับทุนรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ เช่น ทุนรัฐบาลเกาหลี ทุนรัฐบาลจีน ทุน 1 อำเภอ 1 ทุน เราสามารถเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเรียนเองได้ค่ะ ซึ่งก็จะมีคำถามตามมา "พี่คะ หนูอยากเรียนด้านการเงินที่จีน มหาวิทยาลัยไหนดีและดังบ้าง?"
สิ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ตัวนี้ให้เราได้ก็คือ RANKING หรือการจัดอันดับค่ะ น้อง ๆ สามารถค้นหาจากกูเกิ้ลได้ไม่ยาก เช่น "TOP FINANCE PROGRAM IN CHINA" เพียงเท่านี้ กูเกิ้ลก็จะช่วยหาคำตอบให้เราได้แล้วค่ะ ดังนั้นน้อง ๆ ควรศึกษาล่วงหน้าไว้บ้างว่า สาขาที่เราอยากเรียนนั้นมีที่ใดดังบ้าง จะได้มีเป้าหมายมากขึ้นว่าเราอยากเรียนต่อในมหาวิทยาลัยไหน
6. ค้นหาทุนที่อยากได้
ในโลกนี้มีทุนเยอะมากค่ะ ทั้งทุนยอดฮิตที่คนแย่งกันสมัคร และทุนที่ไม่ค่อยฮิตฮิตที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ก็แจกจริงให้จริงเหมือนกัน ดังนั้นหากเรารู้จักแหล่งรวบรวมทุนเด็ด ๆ ล่ะก็ โอ้วววว สวรรค์เลย
นั่นก็คือ 6 ขั้นตอนในการเตรียมตัวก่อนสมัครขอทุนนะคะ อยากให้น้องๆ ลองนำไปใช้กัน ขอให้ได้ทุนไปเรียนต่อสมใจกันทุกคนเลยจ้า!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น