หลักสูตรการเรียนในอเมริกา
การศึกษาระดับอุดมศึกษาในสหรัฐอเมริกา
การศึกษาในระดับอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกามีชื่อเสียงในด้านคุณภาพระดับชั้นแนวหน้า เข้าถึงได้ง่าย มีความหลากหลายและความยืดหยุ่น โดยมีสถาบันการศึกษามากมายหลายแห่งทั้งของรัฐบาลและเอกชน ซึ่งบางแห่งเป็นสถาบันการศึกษาอิสระ
มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ
มหาวิทยาลัยรัฐบาลก่อตั้งขึ้นและได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยมีอัตราค่าเล่าเรียนต่ำกว่ามหาวิทยาลัยเอกชน และพลเมืองของรัฐ (ผู้ที่มาจากรัฐนั้น) จะชำระค่าเล่าเรียนต่ำกว่าพลเมืองนอกรัฐ โดยปกติจะมีจำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนมากกว่า 20,000 คน นักศึกษานานาชาติจะได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มพลเมืองนอกรัฐ และอาจต้องผ่านเกณท์การรับเข้าเรียนที่สูงกว่านักศึกษาของรัฐนั้น
สถาบันการศึกษาเอกชน
สถาบันการศึกษาเอกชนมีแหล่งเงินทุนจากเงินบริจาค ค่าเล่าเรียน เงินสนับสนุน และเงินบริจาคจากศิษย์เก่า ค่าเล่าเรียนจะมีอัตราสูงกว่ามหาวิทยาลัยแห่งรัฐ และไม่มีการแยกประเภทระหว่างพลเมืองของรัฐหรือนอกรัฐ สถาบันการศึกษาเหล่านี้จะมีจำนวนนักศึกษาน้อยกว่ามหาวิทยาลัยแห่งรัฐ สถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาซึ่งมีจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาเป็นสถาบันการศึกษาของเอกชน
วิทยาลัยชุมชน
วิทยาลัยชุมชนเปิดสอนหลักสูตรอนุปริญญาสองปี รวมถึงหลักสูตรด้านเทคนิคหรืออาชีวศึกษา โดยอาจเป็นวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชน แต่มักจะมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ที่มีบทบาทในชุมชนโดยรอบ โดยทั่วไปจะมีค่าเล่าเรียนที่ถูกกว่า และหลายแห่งมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถโอนหน่วยการเรียนไปยังชั้นปีที่สามของหลักสูตรระดับปริญญาตรี
มหาวิทยาลัยรัฐบาลก่อตั้งขึ้นและได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยมีอัตราค่าเล่าเรียนต่ำกว่ามหาวิทยาลัยเอกชน และพลเมืองของรัฐ (ผู้ที่มาจากรัฐนั้น) จะชำระค่าเล่าเรียนต่ำกว่าพลเมืองนอกรัฐ โดยปกติจะมีจำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนมากกว่า 20,000 คน นักศึกษานานาชาติจะได้รับการจัดอยู่ในกลุ่มพลเมืองนอกรัฐ และอาจต้องผ่านเกณท์การรับเข้าเรียนที่สูงกว่านักศึกษาของรัฐนั้น
สถาบันการศึกษาเอกชน
สถาบันการศึกษาเอกชนมีแหล่งเงินทุนจากเงินบริจาค ค่าเล่าเรียน เงินสนับสนุน และเงินบริจาคจากศิษย์เก่า ค่าเล่าเรียนจะมีอัตราสูงกว่ามหาวิทยาลัยแห่งรัฐ และไม่มีการแยกประเภทระหว่างพลเมืองของรัฐหรือนอกรัฐ สถาบันการศึกษาเหล่านี้จะมีจำนวนนักศึกษาน้อยกว่ามหาวิทยาลัยแห่งรัฐ สถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาซึ่งมีจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาเป็นสถาบันการศึกษาของเอกชน
วิทยาลัยชุมชน
วิทยาลัยชุมชนเปิดสอนหลักสูตรอนุปริญญาสองปี รวมถึงหลักสูตรด้านเทคนิคหรืออาชีวศึกษา โดยอาจเป็นวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชน แต่มักจะมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ที่มีบทบาทในชุมชนโดยรอบ โดยทั่วไปจะมีค่าเล่าเรียนที่ถูกกว่า และหลายแห่งมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถโอนหน่วยการเรียนไปยังชั้นปีที่สามของหลักสูตรระดับปริญญาตรี
วิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษา
วิทยาลัยเทคนิคและอาชีวศึกษาเปิดสอนหลักสูตรระยะสั้นเพื่อฝึกอบรมนักศึกษาสำหรับวิชาชีพเฉพาะด้านหรือวิธีใช้ทักษะความชำนาญเฉพาะด้านและมีระยะเวลาเรียนสองปีหรือน้อยกว่า
ปฏิทินการศึกษา
ปีการศึกษาของมหาวิทยาลัยเริ่มต้นในเดือนกันยายนและสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม โดยแบ่งเป็นสองภาคเรียน รวมถึงภาคเรียนฤดูร้อนที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาสั้นกว่า ภาคเรียนฤดูร้อนจะเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้กระจายจำนวนวิชาเรียนที่ต้องเรียนในหลักสูตร หรือเพื่อสำเร็จวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีในเวลาที่สั้นขึ้น
ปฏิทินการศึกษา
ปีการศึกษาของมหาวิทยาลัยเริ่มต้นในเดือนกันยายนและสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม โดยแบ่งเป็นสองภาคเรียน รวมถึงภาคเรียนฤดูร้อนที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาสั้นกว่า ภาคเรียนฤดูร้อนจะเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้กระจายจำนวนวิชาเรียนที่ต้องเรียนในหลักสูตร หรือเพื่อสำเร็จวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีในเวลาที่สั้นขึ้น
ประเภทของหลักสูตร
หลักสูตรสอนภาษาอังกฤษ
มีหลักสูตรภาษาอังกฤษ 3 ประเภทหลักในสหรัฐอเมริกา ได้แก่:• หลักสูตรภาษาอังกฤษแบบเร่งรัด (IEP): เรียนภาษาอังกฤษ 20 ถึง 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
• หลักสูตรภาษาอังกฤษกึ่งเร่งรัด: นักศึกษาจะเรียนทั้งหลักสูตรวิชาการระดับมหาวิทยาลัยรวมถึงหลักสูตรภาษาอังกฤษกึ่งเร่งรัด (ESL) ที่สถาบันการศึกษาเดียวกัน
• หลักสูตรภาษาอังกฤษวิชาชีพ: รวมหลักสูตรการเรียนสาขาภาษาอังกฤษธุรกิจหรือสาขาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น กฏหมาย หรือ วิศวกรรมศาสตร์
เพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับการขอวีซ่านักศึกษาเพื่อการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษในสหรัฐอเมริกา คุณควรตรวจสอบว่าสถาบันการศึกษานั้นได้รับอนุญาตจากหน่วยงานบริการพลเมืองและตรวจคนเข้าเมืองแห่งสหรัฐอเมริกา (USCIS) สถาบันการศึกษาที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะทุกแห่งจะสามารถมอบแบบฟอร์ม I-20 แก่นักศึกษาเพื่อการสมัครขอวีซ่านักศึกษา F-1
ขั้นตอนการรับเข้าเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งจะมีเงื่อนไขการรับสมัคร และวันปิดรับสมัครของตนเอง กรุณาตรวจสอบกับสถาบันการศึกษาที่คุณสนใจจะเข้าเรียนโดยตรง
วิทยาลัยชุมชน
สำหรับนักศึกษานานาชาติ การเรียนที่วิทยาลัยชุมชนจะเป็นเส้นทางเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย โดยในบางครั้งจะเรียกว่า จูเนียร์คอลเลจ หรือ วิทยาลัยสองปี สถาบันการศึกษาเหล่านี้เปิดสอนหลักสูตรฝึกอบรมทั้งด้านอาชีวศึกษาและเทคนิค ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาสามารถเข้าสู่อาชีพการทำงานได้โดยตรงในสาขาอาชีพ เช่น วิศวกรรมยานยนต์ การออกแบบภายใน การพัฒนาเด็ก วิทยาศาสตร์อาหาร การถ่ายภาพ ฯลฯ รวมถึงหลักสูตรด้านวิชาการ ที่จะช่วยให้นักศึกษาสามารถโอนหน่วยกิตการเรียนไปได้ถึงครึ่งหนึ่งของหลักสูตรการเรียนสี่ปีในระดับปริญญาตรี
มีวิทยาลัยชุมชนมากกว่า 1,200 แห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลายแห่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือมลรัฐ นักศึกษานานาชาติจะชำระค่าเล่าเรียนเต็มจำนวนที่วิทยาลัยชุมชน แต่ก็ยังเป็นอัตราที่ต่ำกว่าการเรียน 4 ปีที่วิทยาลัยในเขตพื้นที่เดียวกัน
เกณท์คุณสมบัติผู้สมัคร
วิทยาลัยชุมชนแต่ละแห่งจะมีเกณท์การรับเข้าเรียนของตนเอง ซึ่งคุณจะพบว่าวิทยาลัยชุมชนมีความยืดหยุ่นในนโยบายการรับเข้าเรียนกว่าสถาบันการศึกษาอื่น ๆ อย่างมาก
• ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย / ประกาศนียบัตรนานาชาติ นักศึกษานานาชาติต้องสำเร็จการศึกษา 12 ปี ในระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะสมัครเข้าเรียนวิทยาลัยชุมชนของสหรัฐอเมริกา กรุณาตรวจสอบกับสถาบันการศึกษาของคุณเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาเพื่อการเข้าเรียนโดยตรงในหลักสูตรระดับปริญญาตรี
• ความรู้ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้คุณต้องส่งผลคะแนน TOEFL (การทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ) โดยปกติข้อกำหนดคะแนน TOEFL ของวิทยาลัยชุมชนจะต่ำกว่าสถาบันการศึกษา 4 ปี
สำหรับนักศึกษานานาชาติ การเรียนที่วิทยาลัยชุมชนจะเป็นเส้นทางเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย โดยในบางครั้งจะเรียกว่า จูเนียร์คอลเลจ หรือ วิทยาลัยสองปี สถาบันการศึกษาเหล่านี้เปิดสอนหลักสูตรฝึกอบรมทั้งด้านอาชีวศึกษาและเทคนิค ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาสามารถเข้าสู่อาชีพการทำงานได้โดยตรงในสาขาอาชีพ เช่น วิศวกรรมยานยนต์ การออกแบบภายใน การพัฒนาเด็ก วิทยาศาสตร์อาหาร การถ่ายภาพ ฯลฯ รวมถึงหลักสูตรด้านวิชาการ ที่จะช่วยให้นักศึกษาสามารถโอนหน่วยกิตการเรียนไปได้ถึงครึ่งหนึ่งของหลักสูตรการเรียนสี่ปีในระดับปริญญาตรี
มีวิทยาลัยชุมชนมากกว่า 1,200 แห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลายแห่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือมลรัฐ นักศึกษานานาชาติจะชำระค่าเล่าเรียนเต็มจำนวนที่วิทยาลัยชุมชน แต่ก็ยังเป็นอัตราที่ต่ำกว่าการเรียน 4 ปีที่วิทยาลัยในเขตพื้นที่เดียวกัน
เกณท์คุณสมบัติผู้สมัคร
วิทยาลัยชุมชนแต่ละแห่งจะมีเกณท์การรับเข้าเรียนของตนเอง ซึ่งคุณจะพบว่าวิทยาลัยชุมชนมีความยืดหยุ่นในนโยบายการรับเข้าเรียนกว่าสถาบันการศึกษาอื่น ๆ อย่างมาก
• ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย / ประกาศนียบัตรนานาชาติ นักศึกษานานาชาติต้องสำเร็จการศึกษา 12 ปี ในระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะสมัครเข้าเรียนวิทยาลัยชุมชนของสหรัฐอเมริกา กรุณาตรวจสอบกับสถาบันการศึกษาของคุณเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาเพื่อการเข้าเรียนโดยตรงในหลักสูตรระดับปริญญาตรี
• ความรู้ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้คุณต้องส่งผลคะแนน TOEFL (การทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ) โดยปกติข้อกำหนดคะแนน TOEFL ของวิทยาลัยชุมชนจะต่ำกว่าสถาบันการศึกษา 4 ปี
ขั้นตอนการรับเข้าเรียนของวิทยาลัยชุมชน
สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งกำหนดวันปิดรับสมัครของตนเอง ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม โดยอาจเป็นช่วงก่อนหรือหลังจากนั้น แต่จะเป็นการดีหากคุณส่งใบสมัครแต่เนิ่นๆ
ทำการสมัครไปยังสถาบันการศึกษาโดยตรง โดยประกอบด้วยเอกสารต่อไปนี้
• แบบฟอร์มใบสมัคร
• ค่าธรรมเนียมการสมัคร
• เอกสารรับรองการเรียน โดยปกติจะเรียกว่า ใบรับรองผลการเรียน
• ผลการสอบความรู้ภาษาอังกฤษ (TOEFL)
• วิทยาลัยชุมชนบางแห่งอาจต้องการเอกสารทางการเงินเพื่อยืนยัน
สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งกำหนดวันปิดรับสมัครของตนเอง ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม โดยอาจเป็นช่วงก่อนหรือหลังจากนั้น แต่จะเป็นการดีหากคุณส่งใบสมัครแต่เนิ่นๆ
ทำการสมัครไปยังสถาบันการศึกษาโดยตรง โดยประกอบด้วยเอกสารต่อไปนี้
• แบบฟอร์มใบสมัคร
• ค่าธรรมเนียมการสมัคร
• เอกสารรับรองการเรียน โดยปกติจะเรียกว่า ใบรับรองผลการเรียน
• ผลการสอบความรู้ภาษาอังกฤษ (TOEFL)
• วิทยาลัยชุมชนบางแห่งอาจต้องการเอกสารทางการเงินเพื่อยืนยัน
การศึกษาระดับปริญญาตรี
การศึกษาระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา โดยส่วนใหญ่จะอยู่บนพื้นฐานปรัชญาทางด้านศิลปศาสตร์ ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าคุณจะมีเส้นทางการเรียนเช่นไร คุณจะได้รับความรู้จากวิชาเรียนอันหลากหลายในสาขาสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ภาษา และวิทยาศาสตร์กายภาพ
วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา โดยปกติจะเรียกว่า Bachelor's degree ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง และเปิดโอกาสให้คุณสามารถเลือกเส้นทางการเรียนของตัวเองได้ วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีจะมอบให้คุณหลังจากที่คุณได้รับหน่วยกิตตามที่กำหนด ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาเรียน 4 ปี แต่ละวิชาเรียนจะมีจำนวนหน่วยกิตตามที่กำหนดระหว่าง 3 ถึง 4 หน่วยกิต เพื่อสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี คุณต้องได้รับหน่วยกิตระหว่าง 130 ถึง 180 หน่วยกิต
หลักสูตรปริญญาตรีส่วนใหญ่จะประกอบด้วยวิชาเรียน 4 ประเภท
การศึกษาระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา โดยส่วนใหญ่จะอยู่บนพื้นฐานปรัชญาทางด้านศิลปศาสตร์ ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าคุณจะมีเส้นทางการเรียนเช่นไร คุณจะได้รับความรู้จากวิชาเรียนอันหลากหลายในสาขาสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ภาษา และวิทยาศาสตร์กายภาพ
วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา โดยปกติจะเรียกว่า Bachelor's degree ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง และเปิดโอกาสให้คุณสามารถเลือกเส้นทางการเรียนของตัวเองได้ วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีจะมอบให้คุณหลังจากที่คุณได้รับหน่วยกิตตามที่กำหนด ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาเรียน 4 ปี แต่ละวิชาเรียนจะมีจำนวนหน่วยกิตตามที่กำหนดระหว่าง 3 ถึง 4 หน่วยกิต เพื่อสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี คุณต้องได้รับหน่วยกิตระหว่าง 130 ถึง 180 หน่วยกิต
หลักสูตรปริญญาตรีส่วนใหญ่จะประกอบด้วยวิชาเรียน 4 ประเภท
- วิชาบังคับเป็นวิชาเรียนภาคบังคับที่กำหนดโดยสถาบันการศึกษา และจะรวมวิชาเรียนอันหลากหลายในสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และคณิตศาสตร์
- วิชาเอกเป็นวิชาเรียนที่คุณเลือกเพื่อมุ่งเน้นในสาขาวิชานั้นๆและมีสัดส่วนระหว่าง 25 เปอร์เซ็นต์ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนวิชาเรียนทั้งหมดในหลักสูตรปริญญาตรีของคุณ
- วิชารองเป็นสาขาวิชาเรียนที่คุณมุ่งเน้นเป็นอันดับสอง โดยปกติจะมีสัดส่วนหน่วยกิตเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของวิชาเอก
- วิชาเลือกสามารถเลือกเรียนได้จากทุกแผนกวิชาและเป็นจำนวนหน่วยกิตส่วนที่เหลือเพื่อสำเร็จการศึกษา
เกณท์คุณสมบัติผู้สมัคร
• ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย / ประกาศนียบัตรนานาชาติ นักศึกษานานาชาติต้องสำเร็จการศึกษา 12 ปี ในระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา
• ความรู้ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้คุณต้องส่งผลคะแนน TOEFL (การทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ) มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจยอมรับผลการสอบความรู้ภาษาอังกฤษอื่น ๆ เช่น IELTS กรุณาตรวจสอบกับทางมหาวิทยาลัยว่าความรู้ทางภาษาอังกฤษชนิดใดเป็นที่ยอมรับก่อนทำการสมัคร
• การสอบวัดมาตรฐานอื่น ๆ มหาวิทยาลัยบางแห่งกำหนดให้นักศึกษานานาชาติต้องผ่านการสอบเพื่อการรับเข้าเรียน โดยมีการสอบวัดผลหลัก 3 ประเภทเพื่อการเข้าเรียนระดับปริญญาตรี ได้แก่ SAT-I (การสอบประเมินผลด้านการศึกษา) SAT-II การสอบวัดผลรายวิชาและ ACT (การสอบวิทยาลัยอเมริกัน) โดยเป็นการสอบแบบปรนัยและเป็นการวัดทักษะที่จำเป็นสำหรับการเข้าเรียนระดับปริญญาตรี กรุณาตรวจสอบกับมหาวิทยาลัยที่คุณจะสมัครว่าการสอบวัดผลชนิดใด (หากมี) ที่ทางมหาวิทยาลัยต้องการ
• ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย / ประกาศนียบัตรนานาชาติ นักศึกษานานาชาติต้องสำเร็จการศึกษา 12 ปี ในระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนที่จะสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา
• ความรู้ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้คุณต้องส่งผลคะแนน TOEFL (การทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ) มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจยอมรับผลการสอบความรู้ภาษาอังกฤษอื่น ๆ เช่น IELTS กรุณาตรวจสอบกับทางมหาวิทยาลัยว่าความรู้ทางภาษาอังกฤษชนิดใดเป็นที่ยอมรับก่อนทำการสมัคร
• การสอบวัดมาตรฐานอื่น ๆ มหาวิทยาลัยบางแห่งกำหนดให้นักศึกษานานาชาติต้องผ่านการสอบเพื่อการรับเข้าเรียน โดยมีการสอบวัดผลหลัก 3 ประเภทเพื่อการเข้าเรียนระดับปริญญาตรี ได้แก่ SAT-I (การสอบประเมินผลด้านการศึกษา) SAT-II การสอบวัดผลรายวิชาและ ACT (การสอบวิทยาลัยอเมริกัน) โดยเป็นการสอบแบบปรนัยและเป็นการวัดทักษะที่จำเป็นสำหรับการเข้าเรียนระดับปริญญาตรี กรุณาตรวจสอบกับมหาวิทยาลัยที่คุณจะสมัครว่าการสอบวัดผลชนิดใด (หากมี) ที่ทางมหาวิทยาลัยต้องการ
ขั้นตอนการสมัครระดับปริญญาตรี
คุณควรเริ่มต้นกระบวนการสมัครระหว่าง 12 ถึง 18 เดือนก่อนวันเริ่มต้นการศึกษา เพื่อทำการค้นคว้าหาข้อมูลของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และทำการสอบที่จำเป็น หลังจากที่คุณได้คัดเลือกสถาบันการศึกษาที่ต้องการสมัครเรียนแล้วจึงเตรียมการสมัคร
สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งกำหนดวันปิดรับสมัครของตนเอง ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม โดยอาจเป็นช่วงก่อนหรือหลังจากนั้น แต่จะเป็นการดีหากคุณส่งใบสมัครแต่เนิ่น ๆ
ทำการสมัครไปยังสถาบันการศึกษาโดยตรง โดยประกอบด้วยเอกสารต่อไปนี้
• แบบฟอร์มใบสมัคร
• ค่าธรรมเนียมการสมัคร
• เอกสารรับรองการเรียน โดยปกติจะเรียกว่า ใบรับรองผลการเรียน
• ผลคะแนนสอบ (TOEFL, SAT-I, SAT-II)
• จดหมายแนะนำตัวซึ่งคุณต้องระบุอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายการเรียนและความสำเร็จ
• จดหมายรับรอง โดยปกติจะเขียนโดยอาจารย์ผู้สอนหรือนายจ้างที่สามารถบอกเล่าเกี่ยวกับการทำงานและศักยภาพของคุณ
• มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจต้องการเอกสารทางการเงินเพื่อยืนยันว่าคุณมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเรียนระดับปริญญาตรีของคุณ
ทำการสมัครไปยังสถาบันการศึกษาโดยตรง โดยประกอบด้วยเอกสารต่อไปนี้
• แบบฟอร์มใบสมัคร
• ค่าธรรมเนียมการสมัคร
• เอกสารรับรองการเรียน โดยปกติจะเรียกว่า ใบรับรองผลการเรียน
• ผลคะแนนสอบ (TOEFL, SAT-I, SAT-II)
• จดหมายแนะนำตัวซึ่งคุณต้องระบุอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายการเรียนและความสำเร็จ
• จดหมายรับรอง โดยปกติจะเขียนโดยอาจารย์ผู้สอนหรือนายจ้างที่สามารถบอกเล่าเกี่ยวกับการทำงานและศักยภาพของคุณ
• มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจต้องการเอกสารทางการเงินเพื่อยืนยันว่าคุณมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเรียนระดับปริญญาตรีของคุณ
โดยปกติคุณจะได้รับจดหมายตอบรับเข้าเรียนภายในกลางเดือนเมษายนสำหรับการเริ่มต้นเรียนในเดือนกันยายน
การศึกษาระดับบัณฑิต
มีวุฒิการศึกษาระดับบัณฑิต สองประเภทที่เปิดสอนในสหรัฐอเมริกา: ปริญญาโท และ ปริญญาเอก
มีวุฒิการศึกษาระดับบัณฑิต สองประเภทที่เปิดสอนในสหรัฐอเมริกา: ปริญญาโท และ ปริญญาเอก
• ปริญญาโทวิชาการ
วุฒิการศึกษาปริญญาโทศิลปศาสตร์ (MA) หรือปริญญาโทวิทยาศาสตร์ (MSc) จะมอบให้หลังจากการเรียน 2 ปีที่รวมการทำงานประจำวิชาและการวิจัย งานประจำวิชาจะมีจำนวนหน่วยกิตระหว่าง 30 ถึง 60 หน่วย รวมถึงการทำวิทยานิพนธ์และ/หรือการสอบปากเปล่า โดยสามารถนำไปสู่การเรียนต่อระดับปริญญาเอกได้โดยตรง
• ปริญญาโทวิชาชีพ
วุฒิการศึกษาปริญญาโทประเภทนี้ จะนำไปสู่วุฒิการศึกษาวิชาชีพสาขาเฉพาะด้าน และไม่รวมถึงการเรียนต่อในระดับปริญญาเอก เป็นวุฒิการศึกษา เช่น MBA (ปริญญาโทบริหารธุรกิจ) MEd (ปริญญาโทครุศาสตร์) MSW (ปริญญาโทสังคมสงเคราะห์) MFA (ปริญญาโทวิจิตรศิลป์) ฯลฯ หลักสูตรเหล่านี้จะมีหน่วยกิตการเรียน 36 ถึง 48 หน่วยและไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์
ปริญญาเอก
ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตเป็นวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอก ที่พบได้ทั่วไปมากที่สุด ซึ่งกำหนดให้นักศึกษาผลิตผลงานวิจัยริเริ่มที่มีความสำคัญ เขียนดุษฎีนิพนธ์และนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการ การทำงานระดับปริญญาเอกอาจใช้เวลาตั้งแต่ 5 ถึง 8 ปี รวมถึงวุฒิการศึกษาปริญญาเอกวิชาชีพ เช่น EdD (ปริญญาเอกครุศาสตร์) DBA (ปริญญาเอกบริหารธุรกิจ) ที่รวมการทำงานประจำวิชาและการวิจัยไว้ในหลักสูตร
เกณท์คุณสมบัติผู้สมัคร
• มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยปกติจะกำหนดให้คุณต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีระยะเวลาเรียน 4 ปีแล้ว เพื่อการเข้าเรียนหลักสูตรระดับปริญญาโท
• การสอบเพื่อการรับเข้าเรียน ที่ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก บางแผนกวิชาอาจกำหนดให้คุณต้องผ่านการสอบ GRE (การสอบวัดเชาวน์ปัญญาระดับบัณฑิต) หรือ GMAT (การสอบวิชาเฉพาะสาขาบริหารธุรกิจ) โดยอาจมีการสอบอื่นๆ เช่น MAT (การสอบเปรียบเทียบ Miller) เพื่อการเรียนในสาขาครุศาสตร์หรือจิตวิทยา รวมถึงการสอบเฉพาะสาขาวิชา เพื่อการเรียนสาขาแพทยศาสตร์ นิติศาสตร์ และทันตแพทยศาสตร์ เป็นต้น กรุณาตรวจสอบกับสถาบันการศึกษาว่ามีข้อกำหนดการสอบประเภทใด นอกจากนี้คุณยังต้องแสดงหลักฐานความรู้ภาษาอังกฤษโดยการส่งผลคะแนน TOEFL หรือผลการสอบความรู้ภาษาอังกฤษอื่น ๆ ที่เป็นที่ยอมรับ
ขั้นตอนการสมัครระดับบัณฑิต
คุณควรเริ่มต้นกระบวนการสมัครระหว่าง 12 ถึง 18 เดือนก่อนวันเริ่มต้นการเรียน เพื่อทำการค้นคว้าหาข้อมูลของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และทำการสอบที่จำเป็น รวมถึงหาข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสเงินทุน และทุนการศึกษาต่าง ๆ หลังจากที่คุณได้คัดเลือกสถาบันการศึกษาที่ต้องการสมัครเรียนแล้วจึงเตรียมการสมัคร
สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งกำหนดวันปิดรับสมัครของตนเอง ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม โดยอาจเป็นช่วงก่อนหรือหลังจากนั้น แต่จะเป็นการดีหากคุณส่งใบสมัครแต่เนิ่น ๆ
ทำการสมัครไปยังสถาบันการศึกษาโดยตรง โดยประกอบด้วยเอกสารต่อไปนี้
• แบบฟอร์มใบสมัคร
• ค่าธรรมเนียมการสมัคร
• เอกสารรับรองการเรียน: สำเนาที่ผ่านการรับรองของประกาศนียบัตรต้นฉบับ ปริญญาบัตรหรือตำแหน่งงานและใบรับรองผลการเรียนของมหาวิทยาลัย (เกรดที่ได้รับ)
• ผลคะแนน (GRE, GMAT, MAT, TOEFL หรืออื่นๆ)
• จดหมายแนะนำตัวซึ่งคุณต้องระบุอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายการเรียนและความสำเร็จ
• จดหมายรับรอง โดยปกติจะเขียนโดยอาจารย์ผู้สอนหรือนายจ้างที่สามารถบอกเล่าเกี่ยวกับการทำงานและศักยภาพของคุณ
• มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจต้องการเอกสารทางการเงินเพื่อยืนยันว่าคุณมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเรียนของคุณ
• มหาวิทยาลัยบางแห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะวิชาธุรกิจจะทำการสัมภาษณ์ผู้สมัครระหว่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่หรือศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยอาจเป็นผู้ทำการสัมภาษณ์
โดยปกติคุณจะได้รับจดหมายตอบรับเข้าเรียนภายในกลางเดือนเมษายนสำหรับการเริ่มต้นเรียนในเดือนกันยายน
สถาบันการศึกษาแต่ละแห่งกำหนดวันปิดรับสมัครของตนเอง ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม โดยอาจเป็นช่วงก่อนหรือหลังจากนั้น แต่จะเป็นการดีหากคุณส่งใบสมัครแต่เนิ่น ๆ
ทำการสมัครไปยังสถาบันการศึกษาโดยตรง โดยประกอบด้วยเอกสารต่อไปนี้
• แบบฟอร์มใบสมัคร
• ค่าธรรมเนียมการสมัคร
• เอกสารรับรองการเรียน: สำเนาที่ผ่านการรับรองของประกาศนียบัตรต้นฉบับ ปริญญาบัตรหรือตำแหน่งงานและใบรับรองผลการเรียนของมหาวิทยาลัย (เกรดที่ได้รับ)
• ผลคะแนน (GRE, GMAT, MAT, TOEFL หรืออื่นๆ)
• จดหมายแนะนำตัวซึ่งคุณต้องระบุอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายการเรียนและความสำเร็จ
• จดหมายรับรอง โดยปกติจะเขียนโดยอาจารย์ผู้สอนหรือนายจ้างที่สามารถบอกเล่าเกี่ยวกับการทำงานและศักยภาพของคุณ
• มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจต้องการเอกสารทางการเงินเพื่อยืนยันว่าคุณมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเรียนของคุณ
• มหาวิทยาลัยบางแห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะวิชาธุรกิจจะทำการสัมภาษณ์ผู้สมัครระหว่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่หรือศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยอาจเป็นผู้ทำการสัมภาษณ์
โดยปกติคุณจะได้รับจดหมายตอบรับเข้าเรียนภายในกลางเดือนเมษายนสำหรับการเริ่มต้นเรียนในเดือนกันยายน
หลักสูตรออนไลน์
หลักสูตรออนไลน์ จะรวมวิธีการเรียนการสอนหลากหลายรูปแบบ และหลายหลักสูตรสามารถเรียนทั้งหลักสูตรในประเทศของคุณ ดังนั้นคุณอาจสามารถสำเร็จการเรียนทั้งหลักสูตรได้โดยไม่ต้องเดินทางมายังประเทศออสเตรเลีย สิงคโปร์ หรือสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมเวิร์คช็อปหรือการสัมมนาเลย ขณะที่อีกหลายหลักสูตรอาจกำหนดให้คุณต้องเข้าเรียนในห้องเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย สิงคโปร์ หรือสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา หรือที่สถาบันการศึกษาพันธมิตรในประเทศของคุณ กรุณาตรวจสอบกับสถาบันการศึกษาที่คุณจะเลือกเรียนว่าหลักสูตรนั้น ๆ เป็นแบบออนไลน์ 100% หรือกำหนดให้เข้าเรียนในห้องเรียนด้วย
มีทางเลือกการเรียนทั้งแบบเต็มเวลาและนอกเวลา ซึ่งทั้งสองแบบคุณจะได้รับความช่วยเหลือผ่านสื่อการเรียนหลากหลายประเภท อาทิเช่น เอกสารการเรียน และอินเตอร์เน็ต คุณจะสื่อสารกับอาจารย์ผู้สอนและนักศึกษาคนอื่น ๆ ด้วยจดหมาย อีเมล์ หรือทางออนไลน์ ผ่านทางการประชุมวิดีโอทางไกลและโปรแกรมสนทนา
คุณสามารถเรียนหลักสูตรได้ทุกระดับ เช่น ประกาศนียบัตร อนุปริญญาระดับปริญญาตรี และปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาโทบริหารธุรกิจ และวุฒิการศึกษาวิชาชีพ ผ่านทางการเรียนออนไลน์
คุณสมบัติผู้สมัคร
เงื่อนไขการรับสมัครสำหรับหลักสูตรออนไลน์จะแตกต่างกันตามแต่ละสถาบันการศึกษา และวุฒิการศึกษาที่คุณสนใจเรียน ข้อกำหนดเหล่านี้ได้รับการออกแบบเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อคุณได้รับเข้าเรียนแล้ว คุณจะสามารถบริหารจัดการการเรียนของคุณได้อย่างประสบผลสำเร็จ สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่กำหนดให้คุณต้องมีระดับความรู้ภาษาอังกฤษที่ดี เนื่องจากวิธีการสอนเนื้อหาหลักสูตรและวิธีการประเมินผลงานของคุณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น